วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Business Intelligence (BI)

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ธุรกิจก็มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรงมาก ฉะนั้น องค์กรใดจะอยู่รอดได้ต้องมีการใช้ข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยและรวดเร็ว เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจอย่างทันท่วงที และสามารถนำไปวางแผน หรือโต้ตอบปัญหาเชิงธุรกิจได้ทันต่อเหตุการณ์ให้กับ ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร การที่จะได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศเหล่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการแสวงหาหนทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มาก เพราะว่าข้อมูลเ หล่านั้นมิใช่ข้อมูลภายในองค์กรเท่านั้น อาจจะเป็นข้อมูลขององค์กรที่เป็นคู่แข่งหรือองค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน การเลือกสรรข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณค่า จากกองข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก และเพื่อแน่ใจว่าระบบข้อมูลสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมานั้นเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรได้ และเพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถช่วยเตรียมข้อมูลที่ลึกซึ้งและมีคุณค่าทางกิจกรรมทางธุรกิจให้แก่องค์กรได้

BI คือ ซอฟต์แวร์ที่นำข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อจัดทำรายงานในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับการวิเคราะห์งานในมุมมองต่างๆ ตามแต่ละแผนก และตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น 1)การวิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อการตัดสินใจด้านการลงทุนสำหรับผู้บริหาร 2)การวิเคราะห์และวางแผนการขาย / การตลาดเพื่อประเมินช่องทางการจำหน่าย ฯลฯ 3)การวิเคราะห์สินค้าที่ทำกำไร สูงสุด / ขาดทุนต่ำสุด เพื่อการวางแผนงานด้านการตลาด และการผลิต 4)วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อยอดขายของสินค้า ฯลฯ 5)วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งขัน ฯลฯ

BI ประกอบด้วย ระบบข้อมูลและโปรแกรมแอพพลิเคชั่น ด้านการวิเคราะห์มากมายหลายระบบ เช่น
1) ดาต้าแวร์เฮ้าส์ (Data Warehouse)
2) ดาต้ามาร์ท (Data Mart)
3) การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining)
4) การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Operations Research & Numerical Methods)
5) เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายมิติ (OLAP) แบบประมวลผลทันทีที่ป้อนข้อมูลเข้าไป
6) ระบบสืบค้นและออกรายงานต่างๆ

ข้อดีของ BI
1) ใช้งานง่ายเพียงแค่คลิกเมาส์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรายงานได้โดยไม่ต้องคีย์ข้อมูลใหม่ ซึ่งผู้ใช้สามารถถาม-ตอบคำถามทางธุรกิจได้หลายมุมมองเพียงใน

เวลาไม่กี่นาที ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจแม่นยำและรวดเร็วกว่าคู่แข่ง ทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก
2) สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่หลากหลายภายในองค์กรมาทำการวิเคราะห์ได้ เช่น Excel, FoxPro, Dbase, Access, ORACLE, SQL Server, Informix, Progress, DB2 เป็นต้น โดยไม่มีการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมใดๆ


ข้อเสียของ BI
1) ไม่สามารถเชื่อมข้อมูลจากทุกส่วนได้ภายในระบบเดียวกัน เช่น ต้องนำออกข้อมูลออกจากฐานข้อมูลก่อน จึงจะมาสร้าง dashboard,
พยากรณ์ข้อมูล (forecasting)ได้
2) องค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้งานในส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) ได้อย่างคุ้มค่า เช่น บางระบบไม่สามารถคาดคะเนผลลัพธ์ได้ หรือ
บางระบบพยากรณ์ผลลัพธ์เชิงปริมาณแบบเส้นตรงเท่านั้น หรือบางระบบไม่สามารถวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ หรือทำ

แบบจำลองเพื่อตัดสินใจได้ (simulation for decision)
3) ไม่มีฟังก์ชัน data mining มาให้พร้อม จึงต้องแยกระบบวิเคราะห์อีกต่างหาก
4) องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง อาจใช้เวลาในการติดตั้งระบบ (implementation) นานหลายปี และต้องใช้เวลาอีกระดับหนึ่งกว่า ผู้ใช้ของแผนก
ต่างๆ จะใช้งานได้คล่องแคล่ว
5) การอัพเกรดระบบจากระบบเดิมอาจทำได้ยาก เช่น data warehouse เดิมไม่รองรับBIใหม่
6) พนักงานด้านสารสนเทศขององค์กรขาดความรู้ ความเข้าใจในเชิงธุรกิจ และการจัดการ
7) ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้องค์กรธุรกิจเล็กๆ หรือหน่วยงานที่มีงบไม่สูงนัก ขาดโอกาสในการจัดซื้อ หรือได้ BI ที่มีฟังก์ชันครบดั่งใจ

สรุปได้ว่า Business Intelligence (BI) หรือ องค์กรอัจฉริยะ เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่องค์กรต่างๆ ควรมี เนื่องจากสามารถรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญต่อองค์กร เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงใช้ข้อมูลนั้นเพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจ หรือ พิจารณาเรื่องต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มา NEWS & EVENTS (http://gotoknow.org/blog/business-intelligence)

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

What is SCM ?

Easy and fun with SCM & CRM
In Brief !

Supply คือ อุปทาน สินค้า
Chain คือ โซ่ ความสัมพันธ์
Management คือ การจัดการ

สรุปได้ว่า ระบบห่วงโซ่อุปทานมีการบริหารที่มีแนวคิดที่เน้นความสอดคล้อง ความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระบบการบริหารที่สนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยการบริหารจัดการหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดหาสินค้าทั้งภายในและภายนอก เพื่อส่งมอบสินค้าหรือชิ้นงานให้กับหน่วยงานได้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งผลิตเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ โดยส่งถึงมือลูกค้าได้ตามที่ลูกค้าต้องการและพึงพอใจ
ตัวอย่าง บริษัทการบินไทยให้บริการด้านการบินและให้ลูกค้าสะสมไมล์กับบริษัทฯ แต่ บ.การบินไทยฯ ไม่ได้บินทุกประเทศในโลก ฉะนั้น เพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างทั่วถึง บ.การบินไทยจึงต้องขอความร่วมมือกับสายการบินอื่นๆ เพื่อรองรับลูกค้าของตนเองและยังคงให้ลูกค้าสะสมไมล์ได้ถ้าเลือกบินกับสายการบินที่ร่วมรายการ
เท่านี้ เพื่อนๆ คงจะเห็นภาพของความหมายSCMกันแล้วนะคะ

Customer คือ ลูกค้า
Relationship คือ ความสัมพันธ์
Management คือ การจัดการ (อีกแล้ว)

สรุปได้ว่า การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ คือ การเรียนรู้ที่จะสร้าง รักษา และพยายามดึงดูดลูกค้าเพื่อให้เป็นลูกค้าในระยะยาว ทั้งนี้คุณค่าของลูกค้าก็สำคัญ คือ ถ้าเป็นลูกค้าที่ใช้บริการมานานจะได้รับการปฏิบัติที่ต่างจากลูกค้าชั่วคราว เนื่องจากลูกค้าที่อยู่นานมักจะไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในสินค้าด้วยและการที่บริษัทสามารถรักษาลูกค้าได้นานเป็นการประหยัดต้นทุนบริษัท เพราะจะได้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี หรือ กลยุทธ์ใหม่ๆ มาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจเพื่อดึงดูดลูกค้า
ตัวอย่าง บริษัทAIS ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ๆ มีสัญญาครอบคลุมทั่วไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก บริษัทAIS จะให้สิทธิพิเศษแก่ลูกค้าตามรายงานผลการใช้บริการโทรศัพท์ เช่น ถ้าคุณมีค่าบริการที่สูง ใช้บริการกับบริษัทฯ นานต่อเนื่อง และชำระค่าบริการสม่ำเสมอ บริษัทฯ จะปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างดี โดยมีข้อเสนอการใช้บริการร้านค้าหลากหลาย ส่วนลดร้านค้าที่ร่วมมือกับบริษัทฯ แต่ถ้าลูกค้ากลุ่มใดมีค่าใช้บริการที่น้อยกว่ากลุ่มแรก ก็จะได้รับการปฏิบัติที่ลดน้อยตามลำดับความสำคัญ
เพื่อนๆ คงเข้าใจCRM แล้วนะคะ อย่างไรก็ดี หวังว่าคงได้รับคำแนะนำจากทุกคนคะ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

test

123 test Blogger !!